เช็คลมยางก่อนเดินทาง เติมลมยางเท่าไหร่ดี ?
ความดันลมยางสำคัญอย่างไร และควรเติมเท่าไหร่ดี ?
ยางรถยนต์เปรียบเสมือนเกราะกันกระแทกระหว่างระยนต์และพื้นถนน เพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้ ยางทุกเส้นจึงต้องได้รับการเติมลมก่อนใช้งานและควรรักษาระดับความดันลมยางให้ไกล้เคียงกับที่โรงงานผู้ผลิตกำหนด อย่างไรก็ตามความดันลมยางจะลดลงหลังจากการใช้งาน ดังนั้นจึงควรเช็คระดับความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางรถคุณ
เติมลมเมื่อยางเย็น
ควรเช็คลมยางในขณะที่ยางเย็น หรือก่อนการใช้งาน ทั้งนี้เมื่อล้อเริ่มหมุนยางจะเกิดการเปลี่ยนรูป ทำให้อากาศภายในเกิดการเคลื่อนไหวจนทำให้เกิดความร้อนขึ้น อากาศภายในยางขยายตัวความดันลมจะเพิ่มสูงขึ้นในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเติมลมหลังใช้งานแล้ว การเติมลมเพิ่มขึ้นอีก 2ปอนด์เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัว
ใส่ฝาวาล์วยางให้สนิท
ควรตรวจเช็ฝาวาล์วยางให้สนิท เพื่อป้องกันเศษผง ฝุ่น หรือความชื้นซึมผ่านเข้าภายในยาง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อยางรถยนต์ได้
การสูบลมยาง
1. ตรวจเช็คลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือในช่วงเวลาก่อนออกเดินทางและปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่โรงงาผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเป็นประจำ
2. ในกรณียางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัวทำให้ความดันลมยางลดลง
3. ห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นในขณะกำลังใช้งานเพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ใช้งานเป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น
4. เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว ควรเปลี่ยนวาล์วและแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา
5. สำหรับยางอะไหล่ ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกครั้งอยู่เสมอ
6. ในกรณีรถเก๋งที่ขับด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ตรวจเช็คความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้งควรตรวจเช็คความดันลมยางของรถ ให้อยู่ระดับที่ผู้ผลิตกำหนดเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างสม่ำเสมอ โดยปกติโรงงานประกอบรถยนต์จะระบุระดับความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถไว้บนแผ่นโลหะบริเวณขอบประตูหรือกำหนดในคู่มือประจำรถ การเติมลมยางที่ถูกต้องนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานได้แก่รถคุณด้วย นอกจากนี้การเติมรถยางที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้รถยนต์เสียการทรงตัวเมื่อเบรคหยุดหรือเร่งความเร็ว หรือรถถูกดึงไปด้านใดด้านหนึ่งขณะขับและทำให้ยางสึกไม่เท่ากันด้วย
หน้าสัมผัสยาง กับลมยาง |
การเติมลมยางมากเกินไป
ทำให้หน้าสัมผัสของยางกับพื้นผิวถนนลดลง ดอกยางบริเวณกลางจะสึกมากกว่าด้านข้างทั้งสอง และเนื่องจากความยืดหยุ่นของยางลดลงทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหายได้ง่าย และยังทำให้รถกระดอนเมื่อวิ่งบนถนนขรุขระ
การเติมลมยางน้อยไปทำให้ดอกยางไม่เรียบ โดยดอกยางบริเวณไหล่ยางจะสึกเร็วกว่าบริเวณกลางยาง เกิดความร้อนสูงขณะยางเปลี่ยนรูปและแรงกระแทกจะทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหาย และไม่สามารถคืนกลับสภาพเดิม
กรณีสูบลมยางน้อยกว่ากำหนด (TIP)
- อายุยางลดลง
- บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ
- เกิดความร้อนสูงที่บริเวณไหล่ยาง ทำให้ผ้าใบหรือเนื้อยางไหม้แยกออกจากัน
- โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด หรือหักได้
- สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
- เนื้อยางบริเวณหน้ายางจะฉีกขาดได้ง่าย ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงมากกว่า 100 กม./ชม.
กรณีสูบลมยางมากกว่ากำหนด - เกิดการลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง
- โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกของมีคมตำเนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อยดอกยางจึงสึก บริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น ๆ
- อายุยางลดลง
- ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
เช็คลมยางอย่างไรให้ถูกต้อง
ลมยางจะลดลงโดยตัวมันเองประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วต่อเดือน ดังนั้นจึงควรเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง ขณะที่ยางยังเย็นอยู่ โดยเติมลมยางตามคู่มือรถแต่ละคันที่ติดอยู่ที่ข้างประตูรถ
การบรรทุกของหนักน้ำหนักบรรทุกมีผลอย่งมากต่ออายุของยาง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องควบคุมน้ำหนักบรรทุกให้มีความสัมพันธ์กับความดันลมภายในยาง และไม่ควรเติมความดันลมยางให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักของยางให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มความดันลมยางมากขึ้นจะมีผลต่อยางดังที่กล่าวมาแล้ว
ในกรณีที่บรรทุกน้ำหนักเกินอัตรา โครงยางบริเวณแก้มยาง หรือขอบยางหักหรือระเบิดได้ง่ายเนื่องจากรับน้ำหนักที่กดลงมาไม่ไหว
ความร้อนภายในยางจะเกิดขึ้นสูงมาก ทำให้การยึดเกาะระหว่างเนื้อยางกับโครงยางลดลง และแยกออกจากกันได้ง่าย การเคลื่อนไหวของหน้ายางมีมาก ทำให้ยางสึกหรอเร็วและทำให้อายุยางลดลง
การเติมลมยางรถยนต์ ความดันลมยางที่เหมาะสม (ความดันลมยางรถยนต์ส่วนใหญ่)
การเติมลม ให้กับรถ ต้องยนต์ คำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
- เติมลมตามสเปคของรถที่กำหนด โดยศึกษาได้จากคู่มือของรถนั้นๆ
- เวลาเติม ลมยาง ควรเติมตอน ยาง ไม่ร้อนเกินไป
- หากต้องการวิ่งทางไกล นานๆ ควรเพิ่มลมยางอีกประมาณ 3 - 5 ปอนด์/ตร.นิ้ว
- หมั่นเช็ค ลมยาง เป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
ความดันลมยาง สำหรับรถเก๋งและรถกระบะ
รถเก๋ง ความดันสูงสุด ไม่ควรเกิน 36 ปอนด์ / ตารางนิ้ว ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของรถนั้นๆ ด้วย เช่น
- รถเก๋งขนาดเล็ก ความดันลมยาง ประมาณ 25 - 30 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
- รถเก๋งขนาดกลางถึงใหญ่ ความดันลมยาง ประมาณ 30 - 35 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
- รถกระบะ ความดันลมยาง ไม่ควรเกิน 65 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
กรณีที่ขับรถด้วยความเร็วสูงหรือขับรถทางไกลให้เพิ่ม ความดันลมขึ้น 3-5 ปอนด์/ตร.นิ้ว จากความดันลมปกติ ทั้งนี้เพื่อเป็นลดการบิดตัวของโครงสร้างยาง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ยางเกิดความร้อน
** ดูค่าความดันที่ถูกต้องตามคู่มือรถ เพราะรถแต่ละรุ่นน้ำหนักรถต่างกัน นี่เป็นค่ากลาง ๆ ที่สามารถใช้ได้
การสลับตำแหน่งยางยางรถยนต์จะเกิดการสึกหรอไม่เท่ากันทุกเส้น โดยมีสาเหตุจาก
สภาพรถ
สภาพผิวถนน
ศูนย์ล้อ
การหักเลี้ยวของรถ
การสูบลมยาง
ตำแหน่งยาง
ลักษณะการขับขี่
ฤดูกาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งล้อหน้าจะเกิดการสึกผิดปกติของดอกยางง่ายที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ยางมีอายุการใช้งานได้นาน ควรสลับตำแหน่งยางอยู่เสมอ (ยางเรเดียล ควรสลับตำแหน่งยางทุก 10,000 กม.)
0 ความคิดเห็น: